หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน






ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  พระบูชา
  พระเหรียญ
  พระผง
  เครื่องราง
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    มหันตภัยน้ำท่วมสมัยพุทธกาลในพระไตรปิฎก

              "เรือโนอาห์กับน้ำท่วมโลกในยุคโบราณ" เป็นเรื่องราวทุกคนชนทุกเชื้อชาติในโลกนี้รู้เรื่องน้ำท่วม เนื้อหาในส่วนนี้ อ้างอิงมาจากพระธรรมปฐมกาล ซึ่งกล่าวถึงการสร้างเรือของโนอาห์ ตามพระบัญชาของพระเจ้า เพื่อช่วยให้ครอบครัวของโนอาห์ และรักษาพันธุ์สัตว์บนโลกนี้ไว้ นอกจากนี้เหตุการณ์ของเรือโนอาห์ ยังมีกล่าวถึงในพระคัมภีร์อัลกุรอาน ในศาสนาอิสลาม พระคัมภีร์ในศาสนายูดาย รวมทั้งยังมีหลักฐานเรื่องเล่าปรำปรานานาชาติ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนี้ แตกต่างกันไปในแต่ละชนชาติ อาทิ เรื่องของพระมนูในวรรณกรรมฮินดู

     
       
                 โดยล่าสุดเป็นข่าวฮือฮาไปทัวโลก คือ "พบซากเรือโนอาห์ในตุรกี" ทั้งนี้ คณะนักสำรวจเผยว่า ซากไม้ที่เชื่อว่าเป็นเรือโนอาห์ที่มีอายุถึง ๔,๘๐๐ ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คัมภีร์ไบเบิลระบุว่า เรือถูกปล่อยให้ลอยเหนือน้ำท่วมโลก เพื่อรักษาสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนเรือไว้
               
                ในทางพุทธศาสนานั้มหันตภัยจากธรรมชาติหลักฐานหนึ่งที่ชาวพุทธควรศึกษาคือ "มหันตภัยโลกในพระไตรปิฎก" ทั้งนี้ พระมหาบูรณะ ชาตเมโธ (ป.ธ.๙) หัวหน้าฝ่ายคัมภีร์พุทธศาสน์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และเจ้าอาวาสวัดฉิมทายกาวาส บางกอกน้อย กทม. บอกว่า ในพระไตรปิฎกเองมีหลักฐานการเกิดมหันตภัยทางธรรมชาติหลายครั้ง เช่น ระหว่างมีการจารึกพระไตรปิฎกนั้น ชมพูทวีปทั้งหมดประสบภัยแล้งที่ยาวนานหลายปี ผู้คนตายไปจำนวนมาก นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าน่าจะเป็นภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในยุคนั้น และอาจเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับการเกิดภัยแล้งที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ศาสนาอื่นอีก เช่น ศาสนายูดาย หรือพระเวท 
       
                นอกจากนี้แล้ว พระสูตรสั้นๆ อีกพระสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎกชื่อว่า สุริยสูตรแสดงพุทธพยากรณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับภัยโลกร้อน ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต อันที่จริงอาจกล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นชาวโลกคนแรกที่พูดถึงภัยโลกร้อน ในพุทธพยากรณ์โลกจะร้อนขึ้นทุกปี โดยไม่ทราบสาเหตุจนกระทั่งวันหนึ่งมนุษย์จึงเห็นดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในท้องฟ้า จึงรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของโลกร้อนนั้นมาจากการเกิดขึ้นของดวงอาทิตย์ดวงใหม่ ความร้อนนั้นมีผลต่อสภาพแวดล้อม และต่อมาเกิดดวงอาทิตย์ดวงที่สาม ดวงที่สี่ เรื่อยไปจนครบเจ็ดดวง เมื่อครบเจ็ดดวงโลกทั้งหมดก็ลุกเป็นไฟ
       
                พระมหาบูรณะ ยังบอกด้วยว่า สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งเกิดอหิวาตกโรค ระบาดที่เมืองเวสาลี ในช่วงเวลานั้นเกิดภัยแล้ง ข้าวกล้าในไร่นาเกิดความเสียหายหนัก ผู้คนอดอยาก และล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวเมืองเวสาลีนำซากศพเหล่านั้นไปทิ้งไว้นอกเมือง ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า
       
                “เพราะกลิ่นซากศพของคนที่ตายทั้งหลาย พวกอมนุษย์ทั้งหลายก็เข้าเมือง ต่อแต่นั้นคนก็ตายมากต่อมาก เพราะความปฏิกูลนั้น อหิวาตกโรคย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลาย”
       
                ชาวเมืองเวสาลีช่วยกันค้นหาสาเหตุของทุพภิกขภัยครั้งนี้ ได้กราบทูลพระราชาว่า คงเป็นเพราะพระองค์ไม่ตั้งอยู่ในธรรมกระมัง จึงเกิดทุกข์เข็ญเช่นนี้ พระราชารับสั่งให้ช่วยตรวจสอบว่า พระองค์ไม่ตั้งอยู่ในธรรมข้อใด ประชาชนก็ช่วยกันพิจารณาตรวจสอบแต่ไม่พบข้อบกพร่องแต่อย่างใด ต่อมามีบางพวกเสนอว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว พระองค์เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ขอได้โปรดกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระพุทธองค์มาโปรดชาวเมืองเวสาลีด้วยเถิด
       
                ในขณะนั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ และพระเจ้าพิมพิสารทรงอุปัฏฐากพระพุทธองค์อยู่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบว่าชาวเมืองเวสาลีได้ทูลอาราธนาพระองค์เสด็จดับทุกข์ให้ จึงทรงรับด้วยทรงทราบชัดว่า
       
                เมื่อเราแสดงรัตนสูตรในเมืองเวสาลีแล้ว อารักขาจะแผ่ไปตลอดแสนโกฏิจักรวาล ในเวลาจบพระสูตร ธรรมาภิสมัยจักมีแก่สัตว์แปดหมื่นสี่พัน"
       
                เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปถึงเมืองเวสาลี เกิดฝนตกหนัก เรียกว่า "ฝนโบกขรพรรษ" เป็นฝนพิเศษ เพราะผู้ใดต้องการจะเปียกฝน ก็เปียก ผู้ใดไม่ต้องการเปียก ก็จะไม่เปียก ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมถึงเข่า ถึงเอว ถึงคอ แล้วน้ำพัดพาเอาซากศพเหล่านั้นลงไปในแม่น้ำคงคาจนหมดสิ้น แผ่นดินก็สะอาดบริสุทธิ์ขึ้น
       
                ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ที่ประตูพระนคร ตรัสเรียกพระอานนท์มาแล้วตรัสสอน "รัตนสูตร" แก่พระอานนท์ แล้วโปรดให้ทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมไปทั่วเมือง ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า
       
                เพื่อกำจัดอุปัทวะเหล่านั้น ที่ประตูพระนครเวสาลี สวดอยู่เพื่อป้องกัน ใช้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าตักน้ำ เที่ยวประพรมอยู่ทั่วพระนคร ก็เมื่อพระเถระกล่าวคำว่า "ยังกิญจิ" เท่านั้น พวกอมนุษย์ทั้งหลายที่อาศัยกองหยากเยื่อ และประเทศแห่งฝาเรือนเป็นต้น ซึ่งยังไม่หนีไปในกาลก่อน ก็พากันหนีไปทางประตูทั้ง ๔ เมื่อพวกอมนุษย์ไปกันแล้ว โรคของมนุษย์ทั้งหลายก็สงบ"
       
       
        รัตนสูตรบทสวดขจัดภัยพิบัติ
       
       
            การสวดรัตนสูตร เป็นบทสวดว่าด้วยรัตนทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ สวดเพื่อปัดเป่าอุปัทวันตรายให้หมดไป)มีจุดประสงค์ในการขจัดภัยพิบัติ ๓ ประการ (ตามที่ปรากฎในพระสูตร) ๑. ทุพภิกขภัย คือ ภัยจาก ข้าวยากหมากแพง ๒. อมนุสภัย คือ ภัยจาก ภูตผีปีศาจทำร้าย ๓. โรคภัย คือ ภัยจาก โรคภัยไข้เจ็บ


    • Update : 1/11/2554
    © Copyright 2011 www.watbangwaek.com All rights reserved