หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน






ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  พระบูชา
  พระเหรียญ
  พระผง
  เครื่องราง
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    กุญแจสวรรค์(6)อุปาทานว่านี่คือ'กุญแจ'

    กุญแจสวรรค์(6)อุปาทานว่านี่คือ'กุญแจ' : คันฉ่องและโคมฉาย โดย ว.วชิรเมธี

                  ใครเป็นผู้ถือกุญแจสวรรค์ ตัวเราทุกคนเห็นหรือยัง ถ้าเราไปฝากไว้ที่ท่านนักบุญนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ท่านจะเปิดประตูสวรรค์ แต่ถ้าอยู่ที่เรา เราสามารถที่จะไขประตูสวรรค์ให้ตัวเองได้ พระธุดงค์เคยกล่าวไว้ว่า ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราที่กระทบถึงรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสและความคิดคำนึง ถ้าหากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็น อายตนะภายใน ประสาทสัมผัสภายในไปกระทบกับประสาทสัมผัสภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและความครุ่นคำนึงอย่างขาดสติเมื่อนั้นเป็นนรก แต่ถ้ากระทบอย่างมีสติเมื่อนั้นเป็นสวรรค์

                               มีคำกล่าวที่ว่า 'สวรรค์ในอก นรกในใจ' มีจริง ไม่ได้พูดเอาเอง แต่ว่ามาจากพระพุทธเจ้า ใครคือผู้ถือกุญแจก็คือเรา นรกสวรรค์ก็อยู่ที่ใจ
           
                       มาถึงเรื่องสุดท้ายของท่านพุทธทาสภิกขุสำคัญมาก ที่ท่านกล่าวว่า ทองเอากุญแจออกจากกระเป๋าเรา เราไม่อยากตายคากุญแจ การวางกุญแจเป็นสัญลักษณ์ของความไม่ยึดติดถือมั่น เป็นธรรมขั้นสูง คือไม่ยึดติดอะไรเลย เวลาพระรูปใดรูปหนึ่งปรินิพพานจะมีคำอธิบายคุณสมบัติว่า ท่านรู้ถึงภาวะนิพพานเพราะไม่ยึดติดถือมั่นด้วยอุปาทาน    
           
                       อุปาทานคือความยึดติดถือมั่นที่กายและใจว่าเป็นตัวกูของกู ตัวฉันของฉัน เรานั่งอยู่ตรงนี้ใช้รูปร่างสังขารมาหลายปี รู้ไหมเราอยู่กับรูปนี้ใจนี้ แต่เราเคยรู้เรื่องกายเรื่องใจนี้ไหม กายใจนี้ได้ซ่อนความลับอะไรเอาไว้ คือความว่างเปล่านั่นเอง มันไม่ใช่ของเรา สามีก็ไม่ใช่ของเรา ลูกก็ไม่ใช่ของเรา รถก็ไม่ใช่ของเรา สมบัติก็ไม่ใช่ของเรา ชื่อเสียงก็ไม่ใช่ของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีอะไรที่เป็นของเราซักอย่าง สรรพสิ่งคือของใช้อย่าเข้าใจว่าเป็นของฉัน
           
                       ทำไมทางพุทธจึงบอกว่ากายกับใจนี้มีแก่นสารอยู่ที่ความว่างก็เพราะมันประกอบขึ้นจากธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ดิน น้ำ ลม ไฟรวมกัน กับขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มาประชุมพร้อมกันเมื่อไหร่จะเกิดเป็นองค์กรขึ้นมา องค์กรนี้คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'คน' แต่ถ้าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เลิกประชุมก็เหลือแต่ความว่าง แล้วเราเคยได้ยินคำสอนแบบนี้ไหม ส่วนมากเราจะสอนให้ยึดติด ถือมั่น สังเกตว่าไปที่ไหนก็มีกุญแจกันทั้งนั้น
           
                       ร่างกายทั้งๆ ที่เป็นของชั่วคราวแต่เราไม่ค่อยมั่นใจนะเพราะฉะนั้นเมื่อมีการแตกดับล่วงลับดับขันธ์ไปเราจึงร้องไห้ มนุษย์เรายึดติดถือมั่นในกายและใจมาก ในรูปในนามมาก จนกระทั่งจะตายก็ไม่อยากตายเพราะเราไม่เข้าใจ
           
                       แท้ที่จริงรูปนี้นามนี้คือความว่าง ว่างจากตัวกูของกู มันมีรูปร่างและจิตใจมารวมกันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเรา มันไม่มีตัวเรานะ ความรู้สึกที่เป็นตัวเรา เราไปสร้างมันขึ้นมา เรามักจะคิดว่า หน้าของเรา จมูกโด่งเป็นสันของเรา ตาของเรา ฟันของเรา ความรู้ที่มีอยู่ในสมองก็ของเรา ความยึดติดถือมั่นมันลึกมาก ฉะนั้นจะให้มาเห็นรูป เห็นนามว่าเป็นความว่าง ทั้งๆ ที่เขาแสดงให้เห็นชัดๆ ว่าไม่ใช่ของเรามันก็ยาก


    • Update : 25/1/2555
    © Copyright 2011 www.watbangwaek.com All rights reserved